ก่อนอื่นผมขอขอบคุณเจ้าของบทความที่ผมเอามาจากเวป Pantip
บทความแรกเหมาะสำหรับเด็ก Generation Y หวังว่าวันนึง ลูกผมจะเข้ามาอ่าน เพราะ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องรู้สึกในอีกสี่ปีข้างหน้า เมื่อทำงานเป็นลูกจ้างครั้งแรก
บทความที่สองเป็นบทเรียนของน้องคนนึง ที่พบว่าการทำธุรกิจส่วนตัวนั้น ไม่ได้สำเร็จง่ายๆ แต่ก็ใช่จะล้มเหลวทุกคน
บทความสุดท้ายน้องเขาพูดถึงธุรกิจ MLM ได้ดีมาก ผมอยากให้คนที่พยายามชักชวนผมได้อ่าน และ อยากบอกว่า ผมเจ็บมาเยอะ พอแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ...
บทความแรก
การลาออกครั้งแรก-PANTIP
แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ เจ้าของหนังสือ Wish us Luck ขอให้เราโชคดี
บันทึกการเดินทางโดยรถไฟจากลอนดอนถึงกรุงเทพฯ
อธิบายถึงตัวเองซึ่งอยู่ในช่วงเจเนอเรชั่นวายไว้ว่า
“เราไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เราชอบโน่นนิดนี่หน่อย เรารู้ว่าเราไม่ชอบอะไร แต่เราไม่รู้ว่าเราชอบอะไร”
เจเนอเรชั่นวาย คือ คนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2525 – 2542
(ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย อ้างถึงโดยนิตยสาร Marketer ฉบับ มิ.ย. 2552)
คนกลุ่มนี้เกิดมากับความเพียบพร้อม ทั้งการศึกษา สภาพสังคมที่เจริญ และเทคโนโลยีล้ำสมัย
เนื่องจากถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในชีวิต
จึงไม่ต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องมากนัก ทำให้เจนวายเป็นพวกมองโลกในแง่ดี
แต่ไม่ค่อยมีความอดทน อีกทั้งยังมีโลกส่วนตัวสูง
คนกลุ่มนี้จึงเปลี่ยนงานบ่อย และไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องผิด
ปีแรกของการก้าวสู่โลกมนุษย์เงินเดือน เพื่อนร่วมรุ่นฉันเกิน 70%
ผ่านประสบการณ์ลาออกกันมาแล้วทั้งสิ้น ในวงสนทนาคืนวันศุกร์
ที่ร้านนั่งชิลล์แถวราชเทวี ฉันโยนคำถามเข้าไปกลางวง
ที่กำลังก่นด่าชีวิตการทำงานปีแรกกันอย่างเมามันว่า
“พวกแกว่าคนรุ่นเราความอดทนต่ำจริงไหม?”
เพื่อนฉันสวนกลับมาทันทีแบบไม่หยุดคิด “ทำไมเราต้องทนวะ”
เราถูกสอนมาตลอดว่าความอดทนเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ
‘อด’ ทำสิ่งที่ชอบ ‘ทน’ ทำสิ่งที่ไม่ชอบ
เพื่อรอคอยดอกผลของความสำเร็จที่จะตอบแทนเราอย่างงดงาม
คำถามคือเราต้องทนไปอีกนานแค่ไหน
แล้วมีอะไรรับประกันไหมว่าสุดท้ายเราจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
ทุกเช้าเมื่อตื่นนอน
ฉันมักเริ่มวันด้วยการไล่เรียงว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง
และฉันอยากลุกขึ้นไปทำสิ่งเหล่านั้นไหม
ถ้าเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ‘ไม่’ ชีวิตคงต้องมีการเปลี่ยนแปลง
นั่นจึงนำมาสู่การลาออกครั้งแรก…
ฉันตัดสินใจก้าวออกจากเขตความมั่นคงทางการเงิน
โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเดินไปทางไหนต่อ
ฉันหวาดหวั่นไม่มั่นใจสักนิดว่าจะเอาตัวรอดได้ด้วยทักษะแสนอ่อนด้อย
ประสบการณ์เท่าหางอึ่ง และพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ได้พร้อมสนับสนุนมากนัก
วิชาการค้นหาตัวเอง กำลังยื่นบททดสอบมาให้อีกครั้ง
ฉันไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากตะลุยมันไปให้สุดทาง
ถ้ายังไม่สามารถเลือกคำตอบที่ใช่ได้
บางทีก็อาจต้องค่อยๆ ตัดคำตอบที่ไม่ใช่ออกไปเรื่อยๆ
ภาณุ มณีวัฒนกุล นักเขียนและช่างภาพแนวสารคดีท่องเที่ยวรุ่นใหญ่
เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการเป็น อยู่ คือ ว่า
“การดำเนินชีวิตประจำวันไปในทางที่ไม่ชอบ
การจำเป็นต้องเสแสร้งเพื่ออะไรบางอย่างนั่นคือความเจ็บปวดที่สุด
เพราะทำไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นความเคยชินที่ต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่รัก
ไม่มีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
การมีโอกาสได้ทดลองทำอะไรหลายอย่าง และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างง่ายดาย
กลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ชาวเจเนอเรชั่นวาย (วอด?) หลายคน
เกิดความลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองรักอะไรกันแน่
พวกเราจึงตบเท้าเข้าสู่สถานะฟรีแลนซ์กันเป็นว่าเล่น
ด้วยหวังว่าพื้นที่และเวลาที่กำหนดเองได้มากขึ้นจะทำให้เราตามหาอะไรบางอย่างเจอ
ชีวิตอิสระนอกออฟฟิศรอคอยฉันอยู่อีกไม่กี่วันข้างหน้า
โลกคงสวยงามดี ถ้าเราสามารถเกลี้ยกล่อมให้ตัวเองรู้สึกได้ว่า
ทุกอุปสรรคคือความท้าทาย แต่สำหรับการก้าวผ่านบางสถานการณ์ในชีวิต
เราจำใจต้องยอมรับว่าบางช่วงเวลานั้นโลกอาจไม่สวยงามนัก
“ก้าวผ่านมันมาให้ได้”
ภาพเลือนรางของตัวฉันเองในอนาคตกระซิบข้างหู
…หวังว่าเธอจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เมื่อฉันค้นพบเส้นทางที่เหมาะเจาะลงตัวกับใจอย่างแท้จริง
เคดิต : นิรายนะ
————————–
ทุกวันนี้มีข้อมูลดีดีให้เราพบเจอได้มากมาย
อายุน้อยร้อยล้าน ฉันทำสิ่งที่ฉันรัก ผู้คนที่ประสบความสำเร็จ
แต่จริงๆ แล้วคนพวกนี้มีจำนวนเท่าไรกัน
และสิ่งที่เขาพูดให้เราฟัง คือความเป็นจริง คือสิ่งที่เขาเชื่อมั่น
หรือเป็นเพียงภาพที่ฉาบไว้เพื่อให้ดูสวยงามเท่านั้น
ทุกสิ่งไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่เราถูกทำให้คิดไป
มีข้อมูลอีกมากที่ไม่ถูกพูดถึง มีคนล้มเหลว มีคนสิ้นหนทาง
แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ควรฝัน
ความฝันนั้นเป็นเหมือนปีก
แต่เมื่อเราคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะพุ่งทะยานออกไป ก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง
โลกนี้ไม่สวยงาม ไม่ได้เต็มไปด้วยโอกาสอย่างคำโฆษณาสวยหรู
มีเพียงผู้ที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะคว้าเอาไว้ได้
และการล้มเหลวก็ไม่ใช่สิ่งผิด ไม่ใช่จุดจบของทุกสิ่ง
ถ้าเรายังพร้อมที่จะลุกขึ้น และเรียนรู้จากมัน
ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ในเส้นทางที่ถูกทำให้คิดว่าเราต้องการ
แต่เป็นเส้นทางที่เราต้องการอย่างแท้จริง
การประสบความสำเร็จไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต และจริงๆ แล้ว
การประสบความสำเร็จในชีวิตคืออะไรกันแน่
คงมีเพียงตัวเราเท่านั้นที่จะตอบได้
เคดิต : zoi
บทความที่สอง:
มนุษย์เงินเดือน สู่เจ้าของธุรกิจ น้ำตาตกใน!
สวัสดีค่ะ ปกติเราไม่ค่อยตั้งกระทู้อะไรส่วนมากจะเน้นอ่านมากกว่า แต่วันนี้อยากจะมาเล่าและระบายประสบการณ์ชีวิตที่เรานับว่าเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ของเราให้ทุกคนได้อ่านกันดูค่ะ เผื่อจะมีประโยชน์กับคนที่คิดจะลงทุนทำอะไรซักอย่าง
คำกล่าวที่มีคนเคยว่าเอาไว้ว่า อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ, ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน, เดินตามผู้ใหญ่มาไม่กัด, ไม่มีใครรักเราจริงเท่าคนในครอบครัว, เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย... มันคือเรื่องจริง!
ปัจจุบัน จขกท อายุ 28 ปีค่ะก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ตำแหน่งเซลล์ รายได้ต่อเดือนก็ 45k+ ที่บ้านฐานะปานกลางไม่รวยแต่ก็ไม่ลำบาก อยู่สบายๆ ชีวิตลั้นลามีความสุข ภาระไม่มี มีอย่างเดียวคือผ่อนรถ
แต่ก็เสต็ปมนุษย์เงินเดือนทั่วไป คือ อยากเป็นเจ้าของกิจการ ช่วงที่ทำงานอยู่ คิดตลอดว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายก็มาจบที่ กิจการล้างรถ หรือ คาร์แคร์นั่นเอง ซึ่งในสมัยนี้ กิจการคาร์แคร์ มันไม่ใช่แค่ล้างรถธรรมดาทั่วไป มันมีอะไรที่มากกว่านั้น ร้านดีๆสมัยนี้ก็จะเรียกตัวเองว่า Show car Detailing ประมาณนี้
เรามีเพื่อนที่ทำธุรกิจตรงนี้มาประมาณ 4 ปี ก็ได้สอบถามเบื้องต้นว่าเป็นอย่างไร กิจการนี้ดีมั้ย เพื่อนก็บอกว่าดีมาก ซึ่งโดยส่วนตัว เรามองธรุกิจนี้มาตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ว่าเป็นธุรกิจที่น่าทำ เราจึงไปขอเงินทุนจากแม่ จริงๆแม่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับธุรกิจนี้แต่แม่ก็ให้เงินทุนมา 1 ล้านบาท
เราเริ่มกิจการนี้โดยมีเพื่อนเป็นที่ปรึกษาด้วยและหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทไปด้วย ตอนแรกเรากะว่าจะไปซื้อแฟรนไชส์ของยี่ห้อดังยี่ห้อนึง แต่เพื่อนเราก็ค้าน (เพื่อนเราก็เปิดเฟรนไชส์ยี่ห้อนี้) เค้าบอกว่าจะเสียเงินทำไมมันแพง ขู่เราสาระพัด ว่าจะโดนฟันหัวแบะนะถ้าจะติดต่อยี่ห้อนี้ เดี๋ยวเค้าสอนให้หมด เรียนกับเค้าได้ ไม่ต้องเสียเงินด้วยไม่ดีเหรอ เราก็ดีใจซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเพื่อน ก็โอเคไม่ซื้อเฟรนไชส์ (ซึ่งเป็นอะไรที่เราคิดว่าพลาดมากที่สุด ที่เราไม่ได้เข้าไปคุยกับบริษัทนี้ เพราะการลงทุนมันมีหลายรูปแบบมากไม่ใช่แค่เฟรนไชส์) ด้วยความที่เงินทุนจำกัด เราก็พยายามจะเซฟคอสต์ทุกอย่างเท่าที่จำเป็น คอยถามเพื่อนอยู่เสมอว่าเงินทุน 1 ล้านนี่จะพอแน่เหรอ เพื่อนก็บอกว่า เหลือๆ เราก็ใจชึ้นนะ
มาถึงขั้นตอน หาที่ หาอยู่นานจนได้ที่เช่ามา ทำเลไม่ค่อยดี แต่ติดถนนใหญ่ ห่างไกลแหล่งชุมชม แต่ก็เชื่อคำเพื่อนว่าไม่ต้องทำเลดีมาก ไกลหน่อยไม่เป็นไร ทำดีเดี๋ยวลูกค้าก็มาเอง
ช่วงเริ่มสร้าง ตีราคามา 1.4 ล้าน แทบกระอักเลือด ยังไม่ได้รวมค่าน้ำยา อุปกรณ์ ตกแต่ง อะไรเลยก็เกินงบไปแล้ว 4 แสน แม่เจ้า!! ปรึกษาเพื่อนว่าไหนบอกว่าล้านนึงเหลือๆ มันบอกว่า ที่บอกว่าเหลือๆนี่คือแค่ค่าน้ำยา ไม่รวมก่อสร้าง.... อึ้งมั้ย! นี่คือเราเข้าใจผิดไปเองเหรอ??!!! ตอนสร้างก็โดนโกง โดนหลอกเรื่องเทพื้นปูนอีก
อุปกรณ์และน้ำยาต่างๆ เราให้เพื่อนจัดหาให้หมด หึหึ มันเจ็บใจก็ตรงนี้แหละ
สร้างเสร็จ ดันเจอน้ำท่วมอีก! คุณพระ! ชีวิตจะกระหน่ำซ้ำเติมกันไปถึงไหน คือเราสร้างเสร็จตอน ตุลาคม 54 พอดี ช่วงน้ำกำลังจะมา แล้วน้ำมันก็มาจริงๆ สุดท้ายก็ต้องปิดร้านไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเปิด เป็นเวลา 2 เดือน แต่ก็ต้องเสียค่าเช่านะ! ชีวิตมันช่างโหดร้ายย ฮือๆ
เปิดร้านมาเรื่อยๆ เปิดมาจนถึงตอนนี้ก็ ปีกว่าแล้ว ขาดทุนเดือนเว้นเดือนตลอด ยังดีที่เวลาขาดทุนจะขาดทุนไม่มาก แต่เรียกได้ว่าทำแล้วไม่เหลือเก็บเลย เงินเดือนเรายังไม่กล้าเบิก จากที่เคยได้เดือนละ 45k ปัจจุบัน หยิบเงินร้านมาใช้เดือนละ 1000 บาทถ้วน! เราเครียดมากก กลัวเจ๊ง กลัวแม่เสียใจ ทุกวันนี้สิ้นเดือนไม่อยากจะบอกแม่เลยว่าเหลือ หรือ ขาดทุนเท่าไหร่ ไม่รู้ว่า 3 ล้านที่เอาจากแม่มา จะหามาคืนท่านได้มั้ย เสียใจจริงๆ
และที่เสียใจที่สุด คือเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ เราเพิ่งมารู้ว่า เพื่อนรักที่เคยคิดว่ามีน้ำใจ แท้จริงแล้วก็เป็นอย่างที่แม่พูด แอบบวกเงินค่าของ ค่าน้ำยา ที่รู้จำนวนนึงและที่ไม่รู้อีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มันเสียความรู้สึกจริงๆกับคนๆนี้ที่เรานับถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ (เรารู้ความจริงหลายเรื่อง ยิ่งรู้ยิ่งแค้นตัวเองที่โง่ไปเชื่อเพื่อน)
ทุกวันนี้ได้แต่คิด ถ้าเราไม่ได้เชื่อเพื่อน...ถ้าเราไม่หวังพึ่งคนอื่น....ถ้าเราได้รับคำแนะนำจากคนที่รู้เรื่องนี้จริงๆ...ถ้าเราเชื่อตัวเองสักนิด....ถ้าเราฟังที่บ้านเตือน มีแต่คำว่าถ้าๆๆๆๆ เต็มไปหมด
เรามันโง่เอง คิดว่า คนมันจะมีน้ำใจให้กันจริงๆ เชื่อที่เค้าพูด ทำให้เราไม่คิดที่จะศึกษา หาข้อมูลอะไรเพิ่มเติม จะไปโทษใครได้ เพราะฉะนั้น อยากจะบอกว่าคนที่คิดจะทำธุรกิจส่วนตัว ถ้าเราไม่รู้อะไรจริง อย่าคิดทำ หรือยืมจมูกคนอื่นเค้าหายใจ ทำอะไรต้องศึกษาให้มาก ไม่ใช่ฟังคนคนเดียวพูดว่าดีอย่างนั้นง่ายอย่างนี้ ไม่งั้นกจะเจ็บหนักแบบเรา แต่ยังไง เราก็ยังถือว่าเค้าเป็นผู้มีบุญคุณอยู่ในเรื่องการสอนงานให้เรา วิธีการทำงานของเค้ามันดีมากๆ ทำให้ลูกค้าของเราประทับในกันแทบจะทุกคน ตอนนี้ร้านของเราก็ขายดีขึ้นด้วยการบอกปากต่อปากว่าเป็นร้านที่ล้างรถดีที่สุดในละแวกนี้ (อันนี้ลูกค้าบอกนะ ไม่ได้หลงตัวเอง >_<)
บทเรียนราคาแพงครั้งนี้ เราคงจำไปจนวันตาย T^T~
อยากจะบอกคนที่จะทำธุรกิจว่า
1. ทำเล สำคัญมากกกกกกกกกกกกกกกกกกที่สุด จะเกิดจะดับ มันขึ้นอยู่ที่ทำเลมากกว่า 50%
2. อย่าคิดพึ่งคนอื่น อย่าไว้ใจใครง่ายๆ ศึกษาเอง รู้เอง ดีที่สุด ต่อให้พลาด ก็พลาดที่ตัวเองไม่ใช่พลาดเพราะเชื่อคำคนอื่นแบบนี้มันเจ็บใจกว่ากันเยอะ
3. ฟังคำผู้ใหญ่บ้าง ยังไงเค้าก็อาบน้ำร้อนมาก่อน เคยลองผิดลองถูกมาก่อนเรา
4. ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ทำอะไรอย่ารีบ วางแผนให้รอบคอบ อย่าใจร้อน
5. ศึกษาทางเลือกให้มากๆ แล้วเอามาชั่งน้ำหนักกันว่าลงทุนแบบไหนดีกว่า อย่ามีทางเลือกเดียว
6. จะทำธุรกิจ ให้มองด้านลบ ให้มากกว่าด้านบวก มันจะทำให้เราตั้งรับได้ดีกว่าเวลาเจอปัญหา
7. เตรียมเงินไว้หมุนด้วยนะ สำคัญมากๆเลย อย่างน้อยๆควรจะเตรียมไว้ซัก 20% ของเงินลงทุนในตอนแรก
เมื่อคืน แม่กับพ่อ ก็มาคุยกับเรา ว่าสิ้นปีนี้ถ้ามันยังขาดทุนอยู่ก็ปิดเถอะ ทำแล้วไม่ได้อะไร ไปทำอย่างอื่นดีกว่า เจ็บปวดขึ้นมาทันที เรารู้เลยว่าพ่อกับแม่เองก็เสียใจและกลุ้มใจไม่น้อยไปกว่าเราเลย เราเสียใจ เราไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เราก็จะพยายามทำให้มันดีที่สุด เรื่องนี้มันทำให้เราเรียนรู้ว่าโลกนี้มันอยู่ยากมันไม่ง่าย เราต้องเข้มแข็ง เราต้องทันคน
ยังไง ใครที่อยากมีธุรกิจของตัวเอง ต้องคิดให้มากๆนะคะ เตรียมตัวเองให้พร้อม ใจสู้สำคัญมากก ไม่งั้นก็ตายแน่ค่ะ เพราะปัญหามันเยอะกว่าที่เราคิดไว้เยอะ มันไม่ได้สวยหรูเหมือนภาพที่เราเคยคิดไว้เลย
และ บทความสุดท้าย... MLM
ของคุณเจ้าของกระทู้จากลิงค์นี้ครับ เพราะ ตรงใจผมทุกอย่างเลย แต่ผมคงเขียนได้ไม่ดีเท่านี้
http://pantip.com/topic/30755036
วันก่อนผมเห็นกระทู้ http://pantip.com/topic/30737188 เลยอยากเอาประสบการณ์ของตัวเองมาแบ่งปันบ้างครับ
ยาวนิดนึง ... เพราะตั้งใจว่าจะใส่รายละเอียดเท่าที่จำได้ลงไป ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแล้ว แต่เชื่อว่าประสบการณ์นี้ยังเป็นประโยชน์อยู่แน่นอน เป็นเรื่องราวของผมตั้งแต่เป็นคนที่ไม่เห็นธุรกิจนี้อยู่ในสายตา จนถูกดึงเข้าไปในวังวนจนถึงขนาดฝันว่าตัวเองจะเป็นระดับเพชรดาวรุ่งพุ่งแรง และการค้นหาคำตอบให้ตัวเองจนชัดว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม...
ออกตัวก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้มีอคติกับธุรกิจเครือข่าย ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นธุรกิจที่ผิดแต่ประการใด แต่ใช้คำแรงอย่าง "ล้างสมอง" เป็นความรู้สึกส่วนตัว ... ผมยินดีกับทุกคนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ในขณะที่ก็ยังเห็นคนที่ "ล้ม" และ "เสีย" อะไรบางอย่างไปจากธุรกิจเครือข่ายเช่นเดียวกัน
เหรียญมีสองด้านเสมอ...ชีวิตก็เช่นกัน ...
ตอนที่ 1: Intro ...
ตอนนั้น... ผมเพิ่งเริ่มทำงานมาได้ปีนึงหลังจากจบปริญญาตรี ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ ทำงานให้กับบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง เงินเดือนเริ่มต้นก็ถือว่าใช้ได้ เกือบสองหมื่นกับเกือบสิบปีที่แล้วก็ดูเป็นตัวเลขที่ดี แต่ด้วยความที่ไฟกำลังแรง นอกจากงานประจำแล้วผมก็พยายามที่จะเซ็ทอัพบริษัทของตัวเองขึ้นมา รับงานฟรีแลนซ์ไปด้วย ...
... และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้น ของเรื่องนี้...
วันนึง... ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าที่รู้จักกันสมัยมัธยม ตอนนั้นเธอเพิ่งจบแพทย์ปีหกมาหมาดๆ กำลังอยู่ในช่วงใช้ทุน
"แกว่างไหม.. พอดีพ่อชั้นอยากจะคุยกับแกเรื่องธุรกิจนิดหน่อย มีงานจะเสนอให้" ... นี่เป็นการเปิดเรื่องที่ผมไม่เคยปฏิเสธ เธอก็รู้ว่าผมรับงานฟรีแลนซ์ ถึงผมจะไม่เคยรู้ว่าพ่อเธอทำงานอะไร แต่คุยดูก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหาย
"นัดมาได้เลย วันนี้ก็ได้ ที่ไหนล่ะ"
"ตอนนี้สะดวกมั้ย เดี๋ยวชั้นกะพ่อไปรับมาคุยที่บ้าน"
บ้านเธออยู่บางนา ในขณะที่บ้านผมอยู่แถวอนุสาวรีย์... เป็นอะไรที่ลงทุนมากพอดู ผมเสนอว่าจะนั่งรถไฟฟ้าไปแถวนั้นแต่เธอก็ยืนยัน...
สุดท้าย เธอกับพ่อก็มารับผมที่บ้านจนได้ ...
ถึงผมจะรู้จักกับเธอมานานปี แต่ผมก็ไม่เคยคุยกับพ่อของเธอจริงจังสักครั้ง ... ระหว่างทาง เราพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ เรื่องอดีต การเรียน วางแผนชีวิต เรื่องงาน และเรื่องบริษัทส่วนตัวของผม ... พ่อเธอดูสนใจในเนื้องานที่ผมทำมากทีเดียว
พอไปถึงบ้าน...พบว่าบ้านเธอเป็นโรงงาน ผมเดาเอาเองว่างานที่จะคุยกันน่าจะเป็นเรื่องระบบ workflow หรือไม่งั้นก็พวก stock บัญชี ฯลฯ
แต่ผิดคาด หลังจากที่พ่อให้ผมนั่งในห้องรับแขก เค้าก็เอาวีดีโอมาให้ดูแล้วบอกว่า ดูซักครึ่ง ชม.ก่อนนะ จะได้รู้ว่าเราทำอะไรกัน จะได้คุยกันง่าย ...
วีดีโอสามสิบนาทีนั้นเป็นวีดีโอแนะนำธุรกิจเครือข่าย มีคนประสบความสำเร็จมาพูดมากมาย ชวนให้เห็นถึงอนาคตที่ธุรกิจใดๆก็ไม่สามารถแทนได้
เนื้อหาในวีดีโอน่าเคลิบเคลิ้ม... แต่ตั้งแต่นาทีแรกที่เห็นว่าเป็นธุรกิจอะไร ในใจผมที่ผิดหวังอย่างรุนแรงมีอยู่แค่คำถามเดียวในหัว...
"จะชิ่งยังไงดีวะ"
ตอนที่ 2 :: Sponsor
หลังจากดูวีดีโอจบ...คุณพ่อก็เข้ามาคุยกับผม
"เป็นยังไงบ้าง ... ธุรกิจตัวนี้น่าสนใจไหม เคยรู้จักมาก่อนหรือยัง"
"รู้จักมาพักใหญ่แล้วครับ เป็นธุรกิจที่ดีมาก แต่ต้องขอโทษคุณพ่อจริงๆ ที่ผมยังไม่สนใจในด้านนี้ ตอนนี้ผมยังสนุกกับงานทางสายคอมพิวเตอร์ ยังอยากทำงานบริษัทมากกว่า" ผมปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ด้วยประสบการณ์แล้ว ปฏิเสธตรงๆ ดีกว่ายืดเยื้อรุงรังที่อาจจะทำให้ผิดใจกันทีหลัง
คุณพ่อไม่ดึงดัน เข้าอกเข้าใจผมเป็นอย่างดี ... แต่ก็ถามว่าเห็นด้วยไหมว่าผลิตภัณฑ์ของเค้าดีมาก พร้อมกับสาธิตสั้นๆ อย่างเครื่องกรองอากาศ และยาสีฟัน... ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะว่าผลิตภัณฑ์ของเค้าดีจริง
... แต่ผมไม่ชอบงานขาย ...และยิ่งเป็นงานขายตรง ยิ่งไม่รู้สึกว่าใช่ตัวเองแต่ประการใด ...
"ผมว่าเธอเข้าใจธุรกิจผิดอยู่นิดหน่อยนะ" พ่อขมวดคิ้ว ... หลังจากคุยกันไปได้พักหนึ่ง .. "ธุรกิจนี้ไม่ได้เน้นหลักที่งานขาย คนทั่วไปเข้าใจว่าเราต้องขายของ แต่จริงๆไม่ใช่ หัวใจหลักของธุรกิจของเราคือ "ใช้ดีแล้วบอกต่อ" เหมือนเวลาที่เราไปกินอาหารร้านไหนอร่อย เราก็บอกเพื่อนเราต่อเท่านั้น เพื่อนเราก็จะไปกินด้วย เพราะอยากกินของอร่อย นี่ก็เหมือนกัน"
"ถ้าเราใช้ของตัวไหนแล้วดี แล้วใช่ เราก็แค่แนะนำคนอื่นต่อเท่านั้นเอง แต่ธุรกิจตัวนี้จะทำให้เราได้รายได้ด้วย เมื่อเราแนะนำสินค้า และเพื่อนของเราใช้สินค้าตัวนั้นต่อไป ... เราแนะนำแล้วเค้าไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเค้าใช้เราก็ได้เงิน เท่านี้เอง"
"เอางี้นะ ... เดี๋ยวอาทิตย์หน้า จะมีงานสัมมนาที่เขาใหญ่ จะมีคนไปเยอะแยะเลย มีกิจกรรมพัฒนาศักยภาพหลายอย่าง ไปด้วยกันสิ"
ด้วยความที่ผมเป็นเด็กที่ยังอยากรู้โลกของการทำงานไปซะทุกเรื่อง ... และแนวคิดของธุรกิจที่เคยคิดว่ามันคือการขายตรง ก็ดูเหมือนไม่ใช่อย่างนั้น และที่สำคัญ ผมสนใจในเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของคนมากกว่า จึงรู้สึกว่า... ไปดูก็ไม่เสียหายอะไร ...ก่อนหน้านั้น ผมเคยเข้าโปรแกรมพัฒนาศักยภาพของบริษัทประกันแห่งหนึ่ง และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ขายประกัน แต่การอบรมครั้งนั้นก็ทำให้ผมได้อะไรกลับมามากมาย
... คิดว่าครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ... (ที่สำคัญ ฟรี) ... ผมจึงตกปากรับคำพ่อของเพื่อนผมว่าผมจะไป...
โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า นี่คือเทคนิคหนึ่งของการหาคนใหม่ (sponsor) ... และผมก็เป็น prospect ของเขา....
ตอนที่ 3 :: Outing
เช้าวันเสาร์... คุณพ่อให้เพื่อนอีกคนหนึ่งขับรถมารับผมแถวบ้าน ให้ผมอาศัยรถเค้าไปถึงเขาใหญ่ (ดูแลดีมากเห็นไหม ^^' ) ... ผมยังจำได้ดีเลยว่า จุดประสงค์ของการมาครั้งนี้คือมา "เรียนรู้" ว่าโลกเค้าเป็นยังไงกัน ...และมาพัฒนาตัวเอง
มีแต่ได้ ไม่มีเสีย... (ไม่เสียกระทั่งวันลา เพราะไปเสาร์อาทิตย์) ...และคิดว่ายังไงก็จะไม่ทำ MLM เด็ดขาด
ไปถึงเขาใหญ่ เอาของเข้าห้องเรียบร้อยก็มีการแบ่งกลุ่ม และมีเกมละลายพฤติกรรม งานสันทนาการ ฯลฯ ...
... ผมกลายเป็นจุดเด่นของกลุ่มในเวลาไม่นาน ด้วยความที่กล้าพอ และ ด้านพอที่จะไม่รู้จักคำว่าอาย เพราะ เพิ่งออกจากรั้วมหาวิทยาลัยมาไม่นาน (ผมทำหน้าที่สันทนาการเป็นประจำอยู่แล้ว จะเต้นทุเรศยังไงก็ไม่มีเขิน)
และที่ทำให้ผมเด่นยิ่งไปกว่านั้น คือเมื่อเค้าให้แนะนำตัวสั้นๆ ชื่ออะไร ทำอะไร และใครสปอนเซอร์เข้ามา ...
เมื่อถึงคราวผม...หลังจากที่ผมแนะนำตัวเสร็จ ทุกคนในที่นั้นก็ฮือฮากันอย่างหยุดไม่อยู่...
...คุณพ่อของเพื่อนผม คือหนึ่งในสามสุดยอดของธุรกิจเครือข่ายนี้ ... และ เป็นคนสร้างกลุ่มนี้ขึ้นมา เรียกง่ายๆ ว่า ทุกคนที่เขาใหญ่นั้น อยู่ใต้กิ่งก้านสาขาของคุณพ่อเพื่อนผมทั้งสิ้น...
... เริ่มไม่แปลกใจว่าทำไมผมถึงหลุดมาถึงตรงนี้ ... กระดูกมันคนละเบอร์จริงๆ ^^'
จากนั้นก็เป็นการอบรม ในเรื่องต่างๆ ทั้งในเรื่องทั่วๆ ไปอย่างหลักสูตรพัฒนาตัวเอง การสร้างความมั่นใจในตัวเอง วิธีการพรีเซนต์ วิธีการขาย วิธีการมองโลกในแง่บวก ฯลฯ สลับกับการอบรมความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ตัวธุรกิจ และ วิธีการสปอนเซอร์ (คือการหาคนเข้าสาย หรือเรียกว่า ดาวน์ไลน์ - downline นั่นเอง)
หลักสูตรนี้รวมไปถึงวิธีคิด ...ว่าเราต้องคิดกับธุรกิจแบบนี้ๆ ถึงจะประสบความสำเร็จ ... และมีกระทั่งคู่มือการตอบข้อโต้แย้ง เอาไว้ตอบคำถามเวลาที่เจอกับคำถามยากๆ ตัวอย่างเช่น
Q: ได้ยินมาว่าทำ MLM แล้วเสียเพื่อน ...ผมไม่อยากทำ
A: ลองถามคนรอบๆ นี้ได้เลยครับ ผมทำมา ...ปีแล้ว ไม่เคยมีคำว่าเสียเพื่อน มีแต่ได้เพื่อนใหม่ดีๆ เยอะแยะไปหมดเลย
Q: มีคนรอบตัวทำแล้วก็เจ๊ง เสียเงินเสียทองมากมาย
A: นั่นเป็นเพราะว่า เค้าทำไม่ถูกครับ เราไม่ได้ตั้งใจขายเอากำไร ไม่ต้องมีเงินลงทุน จะเสียเงินทองได้ยังไง ลองดูวิธีที่ผมจะบอกนะครับ แล้วดูว่าจะต้องเสียเงินตรงไหนบ้าง...ไม่มีเลย
(( ใครอยากลองถามคำถามดูก็ได้นะครับ ถ้าผมจำได้ว่าเค้าสอนว่าต้องตอบยังไง จะลองตอบให้ ^^ )) วิเคราะห์กันเล่นๆ สนุกดีครับ
อะไรทำนองนี้ ... จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมประสบการณ์ของคนรอบๆ ตัว เกี่ยวกับธุรกิจ MLM บางครั้งมันถึงได้เหมือนกันราวกับซีรอกซ์ก๊อปปี้พล็อตกันมา เดจาวูกันขนาดนี้...
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมต้องยอมรับก็คือ...เมื่อวันแรกผ่านไป ผมเริ่มรู้สึกว่าความคิดของตัวเองเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด
จากที่เคยแน่ใจว่า จะไม่ทำแน่ๆ ... ก็เริ่มรู้สึกลังเล รู้สึกเหมือนมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
เมื่อมองย้อนกลับไปดู ถึงเริ่มเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่ทำให้ เราเริ่มคล้อยตาม นั่นก็คือ "บรรยากาศ"...
เราอยู่ในกลุ่มคน ในวังวนของคนที่คิดเหมือนๆ กัน เชื่อเหมือนๆ กัน ทำเหมือนๆ กัน และมีเป้าหมายในชีวิตแบบเดียวกัน
นั่นคืออยากที่จะมีอิสระในชีวิต มีอิสระทางการเงิน และ จะได้ทำอะไรในสิ่งที่เราอยากทำ ...
ผมเริ่มรู้สึกว่า "ความฝัน" ที่เค้าพูดถึงกัน มันเริ่มจะดูมีความเป็นไปได้ขึ้นมา ... จากที่ตอนแรกรู้สึกเพียงว่าเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ
ตอนกลางคืน ถึงแม้ว่าจะไม่มีกิจกรรมแล้ว ... แต่ละห้องพักก็ยังมีกิจกรรมกลุ่ม คือการเปิดใจ เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคน
ทำให้ผมยิ่งอินหนักเข้าไปอีก....
แต่ในขณะเดียวกัน ... ความหนักแน่นของความคิดที่เราวางรากฐานของชีวิตไว้ ก็ยังมีอยู่ ....
... ผมอยากมีบริษัท software ของตัวเอง ...
คืนนั้นผมหลับไป ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทะเลาะกันของความคิดที่ถกเถียงกันยุ่งเหยิงวนไปวนมา ...
...ทั้งที่หาคำตอบไม่ได้... ถึงจะรู้สึกคล้อยตามแค่ไหน ... ลึกๆ แล้ว ความรู้สึกของผมบอกตัวเองว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง...
แต่ก็หลับไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั้นคืออะไร...
ตอนที่ 4 :: Step in (finally)
รุ่งเช้า... ผมตื่นมาอย่างงัวเงีย ค่าที่นอนไม่พอ แถม เป็นการหลับที่คุณภาพแย่มาก
ที่สำคัญ puzzle ที่คิดค้างไว้ตอนหลับตาลงก็ดูเหมือนว่าจะยังกองอยู่อย่างนั้น ...
ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อย และเริ่มคิดอยากให้สัมมนาจบซะที จะเลิกคิดแล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิม... ^^"
แต่ดูเหมือนว่า ...สิ่งที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ผมจบง่ายๆ แบบนั้น ... ^^"
เช้าวันอาทิตย์ นอกจากกิจกรรมสันทนาการและการอบรม เพื่อความสำเร็จแล้ว ... มี Guest speaker คนหนึ่งได้ขึ้นพูดบนเวทีเพื่อแชร์ประสบการณ์ของเขา ... แน่นอนครับ เขาต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จระดับเพชร ... และ หลังจากที่เขาคนนี้ขึ้นพูด ... ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง....
สรุป ประสบการณ์ของเค้าแบบย่อๆ... เขาเป็นวิศวกรไฟแรง จบออกมาทำงานบริษัทข้ามชาติไปได้หลายปี ... พอเริ่มเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เขาก็เริ่มอยากมีธุรกิจของตัวเอง เค้าจึงเริ่มเปิดธุรกิจดำน้ำ ด้วยความชอบของเขา.... เขาหวังว่าจะทำงานควบคู่กับงานบริษัทไป แล้วเมื่อธุรกิจดำน้ำของเค้าเริ่มคงที่ เค้าก็คงจะลาออกมาทำธุรกิจดำน้ำเต็มตัว...
แค่เริ่มฟัง แบคกราวน์ของเค้า ... มันก็ทำให้ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที เพราะแนวคิดของเค้าและผม มันเหมือนกันเป๊ะ ... แค่คนละแนวทางของธุรกิจเท่านั้น ...
และ จากนั้น หลังจากที่เค้าเริ่มทำธุรกิจเต็มตัว ลุ่มๆ ดอนๆ ไปได้พักใหญ่ ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้ธุรกิจของเค้าไม่ได้ไปได้ดีอย่างที่คิด ด้วยปัญหามากมายที่ต้องแก้ไขวันต่อวัน.... ทำให้เขาเริ่มเหนื่อย...
...เขาพบว่า ...เขาเริ่มไม่มีเวลา ... การเป็นเจ้าของธุรกิจไม่ได้อิสระอย่างที่คิด ...
... แล้วเขาก็เริ่มก้าวเข้ามาในโลกของธุรกิจเครือข่าย ... และถีบตัวประสบความสำเร็จในเวลาไม่นาน ตอนนี้เขามีรายได้หลักหมื่นปลายๆ เข้ากระเป๋าโดยที่แทบไม่ต้องทำอะไร ถ้าเดือนไหนขยันทำงานก็เป็นหลักแสน มีทุกอย่างที่คนปกติทั่วไปอยากได้ในชีวิต บ้าน รถ ชื่อเสียง เที่ยวต่างประเทศทุกปี มีครอบครัวที่อบอุ่น และที่สำคัญ มีเวลาเหลือเฟือให้กับภรรยาและลูกที่รัก ...
มองย้อนกลับไป ...ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนโดนล้างสมอง ... ด้วยแนวคิดและประสบการณ์ของพี่คนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่า นี่แหละ ชีวิตแบบที่ผมต้องการ
... ผมเริ่มคิดว่า ...เขาทำได้ ทำไมผมจะทำไม่ได้ ...
... ผมเริ่มคิดว่า ชีวิตของเขา นั่นคือเป้าหมายของชีวิต ... เขาเดินพลาดให้ผมดู เขาชี้ทางที่ถูกให้ ทำไมผมจะไม่ไป....
... ผมลืมไปแม้แต่ว่า ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยังค้นไม่พบ ยังขบไม่แตก ... ตอนนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไป
หลังจาก guest speaker เวทีนั้น เวลาทีเหลืออีกค่อนวัน ผมเริ่ม เข้าร่วมกิจกรรมด้วยความรู้สึกใหม่ จากการ "ค้นหา" กลายเป็นความ "กระหาย"
... ผมอยากรู้ว่าถ้าจะประสบความสำเร็จแบบเขาในเวลาอันสั้น ...ผมต้องเรียนรู้อะไรบ้าง ...
ก่อนจบสัมมนา ... ทางทีมจัดการได้ให้คนร่วมกิจกรรมขึ้นไปพูดความรู้สึก แบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับจากสัมมนาครั้งนี้... โดยเฉพาะสมาชิกใหม่
คนคุ้นหน้าคุ้นตา ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปแชร์ความรู้สึก ... โดยมากแล้วพูดสั้นๆ ประมาณห้านาที ...
ผมตัดสินใจขึ้นไปพูดบ้าง... แต่สิ่งที่ผมเล่าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงพี่คนนั้นปลดล็อกในใจผม ... ผมกินเวลาพูดไปเกือบครึ่งชั่วโมง....
...ผมลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือสนั่นหวั่นไหว ... ในใจฮึกเหิมพองโตประหนึ่งว่าประสบความสำเร็จแล้ว ...
หลังจากลงจากเวที พี่ๆ หลายคนกรากเข้ามาจับมือ ... พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผมพูดเหมือนเหล่า "เพชร"เค้าพูดกัน ...
...ผมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ...และไม่ลังเลสงสัยอะไรอีกต่อไป ...
ตอนที่ 5 : Center
หลังจากที่กลับจากสัมมนากับไฟที่เปี่ยมล้น ผมก็กลับมาศึกษาตัวธุรกิจอย่างจริงจัง ... เปิดเอกสาร เปิดคู่มืออ่าน ศึกษาประเภทต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ดูว่าเราจะเหมาะกับส่วนไหน ดูว่าจะซื้ออะไรมา "ลองใช้" และ "บอกต่อ" ... รวมถึงศึกษาแผนธุรกิจ ผลตอบแทนที่จะได้เมื่อเริ่มมี "ดาวน์ไลน์"
เป็นที่รู้กันดีว่า การทำธุรกิจแบบ MLM นั้น ยังไงก็ต้องมีดาวน์ไลน์ หรือคนที่จะมาต่อสายของธุรกิจเรานั่นเอง ...
ถ้าไม่มีดาวน์ไลน์ที่ดี ธุรกิจก็จะไม่ไปไหน ดังนั้น การทำธุรกิจจึงต้องมีการเลือกเฟ้น ค้นหาดาวน์ไลน์ ที่เก่งๆมาอยู่ในทีม
รวมไปจนถึงการฝึกสอน การสร้างแรงจูงใจ motivate ให้ดาวน์ไลน์ในทีมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ถ้าดาวน์ไลน์สร้างยอดได้มาก....ยอดของเราก็จะยิ่งมาก นั่นนับเป็นความสำเร็จของเรา "อัพไลน์"ไปด้วย
ถ้าดาวน์ไลน์คนไหนจะถอนตัว .... นั่นหมายถึงยอดของทีมเราจะลดลง และทำให้เราห่าง "ความสำเร็จ"ที่มุ่งหวังไว้ไปอีก
อัพไลน์จึงต้องพยายามสุดชีวิตที่จะแก้ปัญหา ปรับทุกข์ ปรับความเข้าใจ จูงใจ ไปจนกระทั่งขืนใจให้ดาวน์ไลน์ อยู่ต่อไป ...
... ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายๆ อุปสรรคทุกอย่างแก้ไขได้... ไม่มีคนที่ล้มเหลวหรอก มีแต่คนที่ล้มเลิก...
... ไม่รู้เหมือนกันว่า อัพไลน์อย่างเราทำไป เพื่ออนาคตของดาวน์ไลน์ หรือของเราเอง ...
นั่นคือโลกของความเป็นจริง แต่ในโลกของ MLM เราจะสอนกันว่า สิ่งที่เราทำคือเราต้องมีความรักแก่ดาวน์ไลน์ ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาเข้าใจและอดทนทำต่อไป เพือความสำเร็จของเขา ...
ความคิดแค่ว่า...เพื่อเขา หรือเพื่อตัวเรา .... จึงเป็นเพียงแค่เส้นบางๆ กั้นไว้ ให้คนคิดมากอย่างผมคิดฟุ้งขึ้นมา หรือให้คนที่เหมาะกับ MLM เชื่อในด้านบวกของมันอย่างสนิทใจ
กลับมาที่เรื่องของผมต่อดีกว่าครับ....
หลังจากวันนั้น วันที่กลับจากเขาใหญ่มาได้สองสามวัน ... ผมก็ได้รับโทรศัพท์ จากพี่ในทีม บอกว่าให้ผมเข้าไปที่ "เซ็นเตอร์"
เซ็นเตอร์ ... คือ จุดรวมพลของทีมธุรกิจใหญ่ ที่จะเข้ามาเจอกัน มาประชุมกันตอนเย็นอาทิตย์ละครั้ง ... เพื่อร่วมกิจกรรมพัฒนาตัวเอง เรียนรู้ผลิตภัณฑ์ เรียนรู้ทักษะการขาย และ motivate แรงบันดาลใจ ให้ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เดินไปด้วยเป้าหมายเดียวกัน ....
เซ็นเตอร์ของผมอยู่ไกลลิบ สามสิบกิโลจากบ้าน ... ผมถามว่าผมจะเข้าเซ็นเตอร์อื่นใกล้บ้านได้ไหม...คำตอบหนักแน่นคือ "ไม่ได้"
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ ... แต่ภายหลังก็เข้าใจว่า นักธุรกิจอิสระ ทำงานไม่เกี่ยวข้องกัน ทีมใครทีมมัน สายใครก็สายมัน มีวิธีการทำงานที่สืบทอดกันแตกต่างกันออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังได้รับการเชิญชวนให้ไปมีทติ้งเล็กอีกวันหนึ่ง... ซึ่งพี่เค้าว่าเป็นมีทติ้งสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จอย่าง "จริงจัง"
ลองนึกภาพดูนะครับ ... ตอนนั้นผมทำงานประจำ ห้าวันต่อสัปดาห์ หยุดเสาร์อาทิตย์ ยังมีงานฟรีแลนซ์ที่ต้องทำและรับผิดชอบ เวลาที่เหลือจากนั้นหายไปแล้วอีกสองเย็น ไม่ได้ถึงแค่ทุ่มสองทุ่ม แต่ยิงยาวไปยันเที่ยงคืนทุกครั้ง....
ประโยชน์ของเซ็นเตอร์มีมากมาย....แต่ หลักใหญ่ใจความแล้วก็คือที่ๆ ทุกคนต้องเข้าเป็นประจำสม่ำเสมอ ...ไม่ใช่แค่ความรู้ที่จะเพิ่มขึ้นตามที่ควร แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทัศนคติ ที่ทุกคนควรจะมีทิศทางเดียวกัน ....
...การปล่อยให้ทุกคนทำตามใจตัวเอง โดยที่ต่างคนต่างทำงานเปะปะจึงเป็นเรื่องอันตราย ... ทุกคนควรได้รับการเติมเชื้อไฟ เติมทัศนคติที่ถูกต้องอยู่เสมอ ถ้าใครหลุดออกจากเซ็นเตอร์ไปพักนึง เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการ "หลุดภวังค์" ... กว่าจะตามกลับมาได้ก็เป็นเรื่องลำบากอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น คือการทำงานกันเป็นทีม เวลาที่ใครจะพา prospect มาเพื่อ sponsor ...เราก็มักจะพามาที่เซ็นเตอร์ เพื่อที่จะได้ให้อัพไลน์หรือคนอื่นๆ ที่มีแบคกราวน์ใกล้เคียงกันช่วยเหลือ และ การสร้างบรรยากาศที่ดีภายในเซ็นเตอร์ก็ทำให้การพูดคุยกับ prospect มีความเป็นไปได้สูงกว่า
และด้วยความตั้งใจแรงกล้าที่จะพัฒนาตัวเอง... ผมถึงพยายามไปเซ็นเตอร์ทุกครั้งไม่ให้ขาด ยอมรับครับว่าเหนื่อย แต่ความตั้งใจที่จะเป็นอิสระทางการเงินนั้นแรงกล้ากว่า ... จึงต้องยอมเหนื่อยหน่อย...
ผมใช้เวลาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ และซื้อของเล็กๆ มาใช้ที่บ้าน ... ตั้งแต่วิตามินให้ญาติๆ สครับขัดผิว โปรตีนเพื่อประโยชน์แก่ร่างกาย น้ำยาล้างจาน น้ำยาถูพื้น ยาสีฟัน สบู่ ฯลฯ ...
... และแน่นอนว่า เมื่อยอดขึ้นช้า ก็มีคนแนะนำให้ผมลองเล่นของที่ใหญ่ขึ้น ...
... นั่นคือเครื่องกรองอากาศ ... ขอโทษด้วยครับ คือตัวอยู่อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะเช้า... ^^' วันนี้คิดว่าจะทยอยเขียนจนจบแล้วล่ะครับ
ขอบคุณทุกความเห็นที่สนใจนะครับ จะพยายามตอบทุกความเห็นเพื่อให้ได้แง่มุมต่างๆกันเพื่อแชร์ประสบการณ์เนอะ แต่ขอเขียนให้จบก่อนนะครับ จะได้ไม่หงุดหงิดกัน ^^'
ตอนที่ 6 :: Products
หลังจากที่ผมเริ่มทำไปได้เดือนเศษๆ โดยที่เริ่มต้นจากเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ก่อน ... ตามที่หลายๆ ความเห็นข้างบนแนะนำไว้เป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ คือ การพัฒนาธุรกิจได้อย่างยั่งยืนต้องประกอบไปด้วยสองส่วน คือการขาย และการสปอนเซอร์ ... จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
ผมต้องถือว่าผมโชคดีพอสมควร ที่เข้ามาอยู่ในกลุ่มเซ็นเตอร์ที่ค่อนข้างแนะนำได้ดีและมาถูกทาง ... แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะยังไงมันก็ขึ้นกับตัวเราเอง
พอเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ไปสักพัก ผมก็เริ่มซื้อมาใช้เอง และเผื่อแผ่คนในบ้าน และญาติๆ ก็เริ่มมีออเดอร์เข้ามาบ้างในเดือนแรก แต่ด้วยความที่เราไฟมา อยากประสบความสำเร็จเร็วๆ ... ก็เริ่มมองแผนว่า ทำยังไงถึงจะทำยอดในแต่ละเดือนได้ถึงเป้า หรือเรียกว่า break event ...
การ break event หมายถึง เราและลูกทีมทำยอดได้สูงระดับหนึ่ง และถ้าเรารักษาการ break event ไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง เราก็จะได้เลื่อนขั้น ถ้าติดต่อกันยาวนานทุกเดือน ไม่เกินปีนึงเราก็สามารถขึ้นถึงระดับเพชรได้ ... นี่คือ best case ที่ผมเล็งเอาไว้
ในเมื่อผมคิดถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่ใช่ค่อยๆ เดินอย่างยั่งยืน ... ผมก็เริ่มเข้าไปคุยกับอัพไลน์ที่สนิทด้วย เพื่อให้เค้าวางแผนให้ว่าควรทำยังไง ...
สิ่งที่เขาแนะนำคือ เราต้องวางแผนไว้สองขั้น ขั้นแรกคือรักษายอดของตัวเอง และขั้นที่สองคือต้องหาลูกทีม และที่สำคัญ ตัวสินค้าที่เล่นต้องมี potential ที่ดีในการสร้างยอด ขายง่าย ได้ยอดสูง ...
สินค้าที่เค้าแนะนำมีสองตัว คือเครื่องกรองน้ำ และเครื่องกรองอากาศ ... ถ้าวัดตามสถิติแล้ว หนึ่งปีให้หลังมานี้สินค้าสองตัวนี้มียอดขายพุ่งสูงมาก ตั้งแต่ทางบริษัทมี partner ที่ดีอย่าง First Choice ... ถึงสินค้าจะราคาแพง แต่ถ้าเทียบตามเงินที่ต้องผ่อนต่อเดือน และวัดกับความคุ้มค่าแล้ว ก็สามารถจูงใจให้ลูกค้าซื้อได้ไม่ยาก
ด้วยความใจใหญ่ ผมเล็งเป้าหมายเลิศไว้ เริ่มต้นด้วยการซื้อเครื่องกรองอากาศมาเครื่องหนึ่ง ผ่อน 24 เดือน ราคาสูงกว่าซื้อสดเกือบครึ่ง... แต่นั่นมันก็ทำให้ผม break event ในเดือนนั้นได้ด้วยการซื้อของผมคนเดียว
สิ่งที่ผมเล็งไว้ก็คือ ผมจะใช้เครื่องกรองอากาศนี้ไว้สาธิตกับลูกค้า เป็นเครื่องมือทำมาหากิน แค่ขายได้อีกเดือนละเครื่องสองเครื่อง ผมก็รักษายอดเอาไว้ได้ไม่ยาก และยิ่งถ้าผมสร้างทีมต่อไปได้ การเป็นระดับเพชรในปีสองปีก็ดูเหมือนมันไม่ไกลเกินเอื้อม...
นอกจากนั้นผมยังมียอดจากของใช้ต่างๆ ในครอบครัว โดยเฉพาะโปรตีนชง ที่เอาไว้รักษาอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานเกินตัว และวิตามินต่างๆ ที่ให้กับญาติผู้ใหญ่ ...
คำถามต่อมาคือ... เครื่องกรองอากาศชิ้นแบบนี้ ... ผมจะไปขายใคร...
แน่นอนครับ... เริ่มต้นจากบ้านญาติและเพื่อนๆ ก่อน... สมัยนั้นไม่ได้มี facebook ไม่ได้ติดต่อกับทุกคนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตได้ง่ายๆ เหมือนสมัยนี้ คนใกล้ตัวที่มีสายสัมพันธ์แน่นจึงเป็นลูกค้ากลุ่มแรก ด้วยความคิดที่ว่า... เราไม่ได้ขายของ ... เราไปเสนอสิ่งดีๆ ให้ชีวิตเค้า ทำให้ผมมองไม่เห็นความเสี่ยงใดๆ เค้าไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องทำงาน...
เมื่อแผนธุรกิจเริ่มวาดในหัว ... ยอดที่ตั้งเป้าไว้เริ่มมีการวางแผน สินค้าตัวใหญ่ซื้อเข้ามาวางในบ้าน.. ประโยคปรัชญาของธุรกิจแรกเริ่มที่คุณพ่อของเพื่อนผมบอกไว้ว่า "ใช้ดีแล้วบอกต่อ" ไม่ใช่ "งานขาย" ก็ดูเหมือนจะถูกลืมไปโดยไม่มีเหตุผล
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมมีอย่างเดียวเท่านั้น ... คือรักษายอดให้ได้ ... แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จ ...
ตอนที่ 7 :: Downline
ผมเริ่มขายของ ... จาก "ใช้ดีแล้วบอกต่อ" กลายเป็น "ขายเพื่อรักษายอด" ... เพราะการทำงานแบบไม่มีเป้าหมายมันก็ไม่ใช่ที่
ของเริ่มขายได้บ้าง จากญาติๆ ที่ดูเกรงใจ ซื้อเพราะช่วยๆ กันมากกว่า แต่สินค้าที่อยู่ในแผนการของผมก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ นั่นคือเครื่องกรองอากาศ
จากการขายญาติหลายๆ คน พบว่า ผู้ใหญ่ส่วนมากไม่คล้อยตามไปกับค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่นัก ... เขามีเงินพอที่จะซื้อสดได้ถูกกว่า แต่ก็ยังมองว่า ความคุ้มค่าในเม็ดเงินนั้นผลิตภัณฑ์ของเรายังไม่คุ้มค่ามากพอที่เขาจะควักกระเป๋า...
... ทำไมต้องซื้อสินค้าระดับเทพ ในขณะที่เครื่องกรองอากาศในตลาดถูกกว่าสามสี่เท่าก็ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน และเพียงพอ ... นี่คือมุมมองจากญาติที่เป็นนักธุรกิจ
... ทำไมอากาศที่เราหายใจเข้าไปถึงต้องสะอาดขนาดนั้น ในเมื่อเครื่องกรองอากาศอื่นสามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้แล้ว และ ระบบการกรองของร่างกายมนุษย์ก็มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มีเลย... นี่คือมุมมองจากญาติที่ทำงานในโรงพยาบาล
ผมเริ่มเห็นว่าการขายไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ต่างคนต่างก็มีมุมมองของตัวเอง... อัพไลน์ผมเสนอว่าจะไปช่วยขาย ผมจะได้เห็นทางว่า วิธีการขายที่ถูกต้องและปิดการขายได้ควรจะเป็นยังไง...
ไม่รู้ทำไมว่าตอนนั้นผมถึงปฏิเสธ ... เหมือนในใจลึกๆ มีอะไรเตือนว่า ผมอาจจะเสียความรู้สึกดีๆ จากญาติไปถ้าเอามืออาชีพด้านการขายไปช่วย และปิดการขายแบบใช้ชั้นเชิงหักคอมา
... นั่นไม่ใช่ "ใช้ดีแล้วบอกต่อ" อีกต่อไป... ไม่ใช่เหรอ?
แต่อย่างไรก็ดี ในภาพรวมแล้ว ยอดจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ก็ไม่ถือว่าแย่ รอบตัวผมมีกำลังมากพอที่จะ "ลองของใหม่" ทำให้ยอดช่วงแรกของผมออกมาดูโอเค และได้รายได้กลับมาพอสมควรในเดือนสองเดือนแรก
ถึงแม้ว่าเครื่องกรองอากาศผมจะยังขายไม่ออก... ผมก็ถึงเวลาที่พร้อมที่จะหา "ดาวน์ไลน์" ของตัวเอง
วิธีการสปอนเซอร์หาดาวน์ไลน์นั้นมีไม่มากนัก โดยเฉพาะส่วนตัวที่ผมเองเป็นคนไม่ชอบวิธีที่งุมงำๆ ไปขายฝันบอกชาวบ้านว่ามีอะไรดีๆ มาแชร์ แล้วก็หลอกมาฟังสัมมนา... ผมชอบวิธีตรงไปตรงมาที่บอกว่าเราทำอะไรอยู่ ดีกับชีวิตยังไง... ถ้าสนใจก็ไปด้วยกัน ... ผมมีเพื่อนมากมาย และผมรู้สึกว่าการชวนแบบมีลับลมคมในกับเพื่อน ไม่ใช่วิธีการที่ทำให้เราโตได้อย่างยั่งยืน
วิธีที่ผมคิดว่าถูกต้องที่สุดคือการเล่าประสบการณ์ อธิบายแนวคิด และพยายามพาเขาไปเซ็นเตอร์ เผื่อว่าถ้าเค้าไม่คลิกกับเรา ... เค้าอาจจะคลิกกับคนอื่น เหมือนอย่างที่ผมเคยเป็นมา ... นี่คือการทำงานเป็นทีม
ผมเริ่มสปอนเซอร์คนรอบข้าง เว้นญาติๆ ไว้ที่เค้ามีทางของเค้าเองแล้ว ผมเริ่มต้นจากเพื่อนๆในกลุ่มที่สนิทที่สุด ด้วยความคิดว่า เรามีสิ่งดีๆจะชักชวน เราก็อยากให้คนที่เรารักที่สุดได้รับรู้
ผมอธิบายถึงแผนธุรกิจ อธิบายถึงความเทพของสินค้า อธิบายถึงสิ่งที่เราจะได้มาในอนาคต ผมรู้ว่าคนอายุเพิ่งเริ่มทำงานอย่างผมต้องการอะไร ทุกคนอยากสร้างเนื้อสร้างตัว อยากประสบความสำเร็จ อยากได้บ้านให้พ่อแม่ อยากมีเวลาทำในสิ่งที่ชอบและใช่...
ทุกคนปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ... จากการร่วมหัวจมท้ายรู้จักกันมาเกินสิบปีมันทำให้ผมรู้ว่าผมควรหยุด ... เราเสนอสิ่งดีๆ ให้เขา แต่แค่วันนี้เขายังไม่เปิดใจเท่านั้น ..
ผมเริ่มกระจายกลุ่มจากเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิท และเพื่อนห่างๆ เน้นการให้ข้อมูลและ เปิดแนวคิดใหม่ๆ ให้กับเขา ตอนแรกๆ ผมไม่เคยกลัวว่าการทำแบบนี้จะทำให้เสียเพื่อน เพราะในความคิดคือ เราแค่เล่าให้ฟัง เค้าสนใจก็ดี ถ้าเค้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้ตื๊อ ไม่ได้หลอก ไม่ได้ทำอะไรไม่ถูกต้องทั้งนั้น ...
พี่ๆ ที่เซ็นเตอร์สอนไว้ว่า การสปอนเซอร์ที่ดีเราควรให้เขาได้รับรู้ข้อมูล แต่อย่าฝืนใจเขา แต่อย่าหยุด อย่าอาย เราเข้าหาสิบคน อาจจะได้มาแค่หนึ่ง แต่หนึ่งคนนั้นอาจจะเป็นกำลังสำคัญของเราก็ได้
สุดท้ายผมก็ได้คนที่ไปฟังสัมมนา เข้าเซ็นเตอร์กับผมสามสี่คน ... เหมือนเปิดฉากได้ค่อนข้างดีทีเดียว... การเริ่มมีทีมของตัวเองทำให้ผมเริ่มมีทางเดินไปสู่คนใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ คนที่ผมพยายามสปอนเซอร์หลายคนเตือนผมเรื่องระวังเสียเพื่อน แต่ผมยังยึดมั่นว่าถ้าเราทำทุกอย่างอย่างโปร่งใส ไม่หลอกใคร ไม่มีลับลมคมใน จะเอาโอกาสที่ไหนมาเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน...
... อีกพักใหญ่ๆ ทีเดียว ผมถึงจะรู้ว่าผมคิดผิด ... และอีกครั้งที่ผมเป็นแค่เด็กที่ยังไม่เข้าใจโลกดีพอ...
ตอนที่ 8 :: Reality
ถึงแม้ว่าผมเริ่มจะมีคนสนใจ แต่เค้าไปเซ็นเตอร์ด้วยสองสามครั้ง ก็หายตัว... ไม่ได้อินเหมือนอย่างที่ผมเป็น ในทางกลับกัน การที่เค้าได้คุยกับคนอื่นๆในเซ็นเตอร์ทำให้เค้ารู้สึกกับธุรกิจนี้แย่ลงกว่าตอนคุยกับผมตอนแรกซะอีก
"ชั้นว่ายังกับลัทธิฟาหลุนกง อะไรซักอย่างเลยอ้ะ..." เธอบอกกับผมไว้ก่อนที่จะปฏิเสธไม่มาเซ็นเตอร์อีก เหตุผลคือเธอรู้สึกแปลกๆ ในสังคมที่ทุกคนพูดเหมือนๆ กัน ต้องคิดเหมือนๆ กัน มีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบเดียวกัน...
... มันรู้สึกเหมือนขาดความเป็นชีวิตของคนไป ยังไงบอกไม่ถูก ... เธอพูดกับผมแบบนั้น...
ถึงเธอจะหายไปแต่ก็ยังดีที่เธอยังสั่งซื้อสินค้าเรื่อยๆ ในฐานะดาวน์ไลน์ ... ผมคิดแค่นั้นจริงๆ
ผมทำธุรกิจต่อไปอีกสองสามเดือน ซื้อของ ขายของ สปอนเซอร์ ด้วยความตั้งใจว่า เรากำลังเสนอสิ่งดีๆ ให้กับเพื่อน ให้กับคนที่เรารัก ... ถ้าเค้าไม่สนใจก็ไม่เป็นไร ไม่ตื๊อ ไม่บังคับ ไม่ทำให้รำคาญ เพราะเราก็ไม่อยากเสียเพื่อน ไม่อยากเดินตามตัวอย่างไม่ดีอย่างที่เราเคยเห็น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ... นอกจากเดือนแรกที่ผมเบรคอีเวนท์ด้วยเครื่องกรองอากาศของตัวเองแล้ว ผมไม่สามารถเบรคได้อีกเลย ตรงกันข้าม ทีมงานที่ดูเหมือนจะเริ่มมีก็ค่อยๆ หายไปทีละคน
จากเป้าหมายที่เราตั้งไว้ บีบให้เราต้องทำงานหนักขึ้น ร่างกายเริ่มอ่อนล้า ผมเริ่มเสียรายได้จากงานฟรีแลนซ์ไปเพราะทำไม่ทัน ยังดีที่งานประจำยังมีอยู่ ผมต้องกินโปรตีนมากขึ้นจากแต่เดิมวันละครั้งกลายเป็นวันละสองครั้ง ครั้งละหนึ่งช้อนใหญ่กลายเป็นสองช้อนใหญ่ แน่นอนว่าเป็นคำแนะนำจากรุ่นพี่ระดับเพชร เป็นความลับที่ทำให้เค้ามีแรงและมีไฟทำงาน ... ความลับที่เค้าไม่ได้บอกผมคือมันทำให้โปรตีนหมดกระป๋องเร็วขึ้น ซึ่งพอหมดก็ต้องซื้อใหม่ วนเวียนเป็นวงจรแบบนี้
ผมเริ่มทำงานมากขึ้น ด้วยคิดว่าตัวเองพยายามไม่พอ ปรับทัศนคติของตัวเองให้เป็นบวก ทุกอย่างมีแต่เรื่องดีๆ ...
พอผมรู้ตัวอีกที ... ก็เริ่มรู้สึกว่า คนรอบตัวเริ่มปฏิบัติกับผมแปลกๆ ไป...
จากที่เคยเป็นศุนย์กลางของเพื่อนๆ เวลามีปัญหามีแต่คนเข้าหา อยากคุยด้วย กลายเป็นมีเรื่องอะไรผมกลายเป็นคนที่รู้ทีหลังคนอื่น
จากที่เคยอยู่เป็นกลุ่มก้อน กลายเป็นเริ่มไม่ค่อยมีคนชวนไปแฮงค์เอ้าท์ ... อาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยมีเวลา ... แต่ผมรู้สึกตะหงิดๆ เพราะเมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยมีเวลา แต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์ว่า ไม่ถูกชวน...
ผมเริ่มทบทวนตัวเอง ว่าเกิดอะไรขึ้น ว่ามีอะไรผิดปกติ ... คำตอบที่ได้จากการคุยกับตัวเองคือ เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เราเสนอสิ่งดีๆ และเราก็ไม่เคยตื๊อให้ใครมาทำธุรกิจ ไม่เคยหลอกลวงใคร ...
นับเป็นโชคดีของผมว่าผมยังเชื่อเซนส์ของตัวเองอยู่ ... ความผิดปกติที่เกิดขึ้นรอบตัวทีละเล็กละน้อยนี้เป็นของจริง ไม่ใช่การคิดไปเอง
.... ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ... เราจะเสียชีวิตที่ดีๆ ที่มีความสุขที่เคยมี
โชคดีอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ ผมมีเพื่อนสนิทที่รู้ใจอยู่ข้างตัว ... ผมจับเข่าคุยกับเพื่อนคนหนึ่งที่สนิทกันมาเป็นสิบปี เป็นกลุ่มแรกที่ผมพยายามชักชวนเข้าทำธุรกิจและเขาปฏิเสธ
"เมิงไม่รู้ตัวเหรอ ... ว่าตอนนี้เมิงเป็นยังไง เมิงเปลี่ยนไปเยอะจนแทบไม่เหลือคนเดิมอยู่แล้ว" เขาพูดกับผมตรงๆ ... ตรงจนผมตกใจ
เพราะผมมั่นใจว่า ถึงผมทำธุรกิจนี้ ผมก็ยังเป็นคนเดิม ยังมีความคิดอ่านแบบเดิม และผมไม่เคยใช้เล่ห์เหลี่ยมกับใคร
เขาชี้ให้ผมเห็นว่า ตั้งแต่ผมทำธุรกิจนี้ ผมหายใจเข้าออกเป็นผลิตภัณฑ์ เป็นธุรกิจ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้พยายามสปอนเซอร์คนที่ไม่เปิดใจ แต่รอบตัวผมก็ยังมีกลิ่นอายของความ "ไม่ปลอดภัย" อยู่...
ผมลองกลับมานั่งคิด นั่งทบทวนดู มันก็จริง ... ด้วยความที่ทัศนคติเราต้องเป็นบวกร้อยเปอร์เซ็นต์กับสินค้า และสินค้าของไอ้ธุรกิจที่ผมทำนี่มันก็ครอบจักรวาลเสียด้วย ไม่ว่าอยู่ในวงสนทนาวงไหน มันก็จะมีความคิดแว๊บเข้ามาในหัว เป็นโอกาสทางธุรกิจทั้งนั้น
ไปชอปปิ้งกับเพื่อน... ก็อยากจะแนะนำสินค้าในบ้านให้เขา
คุยกันถึงเรื่องสุขภาพครอบครัว... ก็อยากแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวโน้นตัวนี้ให้ไปลองกิน
คุยกันถึงเรื่องไปเที่ยว ... ก็อยากแนะนำธุรกิจเพื่อจะได้ไปเที่ยวต่างประเทศฟรีๆ
แม้แต่ไปบ้านเพื่อนเห็นอะไรที่เป็นปกติของบ้าน ก็อยากแนะนำของให้เค้าลองใช้...
... มันไม่ใช่เรื่องผิด ... แค่มันเป็นเรื่องที่แปลก... และมันทำให้คนฟัง "อึดอัด"
บางครั้งแนะนำสิ่งดีๆ ต้องเป็นสิ่งดีที่คนฟังเค้าอยากฟังด้วย...
ผมเริ่มรู้สึกว่า นี่ได้เวลาที่จะต้องทบทวนตัวธุรกิจนี้อีกครั้ง ... ว่าทางไหนที่เราควรเดิน ...
จากวันนั้น... ผมเริ่มเข้าเซ็นเตอร์ ด้วยสายตาที่ต่างออกไป...
ใกล้จบแล้วครับ ... ตอนนี้เริ่มได้สติหลังเสียเงินเสียเวลาไปพักใหญ่ แต่ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่นะ เหมือนกับได้ใช้เวลาช่วงหนึ่งไปค้นหา และเรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้ธรรมชาติของชีวิต และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือ เราโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ...
ตอนที่ 9 :: Wake Up
ตั้งแต่นั้น... ผมก็เริ่มเข้าเซ็นเตอร์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากการที่เราเข้าไป "เรียนรู้" ก็กลายเป็นเราเข้าไป "สำรวจ" ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรกันแน่
คำถามแรกที่อยู่ในใจผมคือ... ผมทำอะไรผิดไปไหม ทำไมถึงทำให้คนที่เราคุยด้วยรู้สึกอึดอัด รู้สึกไม่อยากเข้าใกล้...
ทั้งๆ ที่เรา "ปรารถนาดี" ... ทำไมเค้าถึงต้องรู้สึกไม่ดีกับเรา... นี่เป็นคำถามแรกๆ ที่ผมถามพี่ๆ ในเซ็นเตอร์
คำตอบที่ผมได้รับ คือ บางครั้ง เค้าแค่ยังไม่เข้าใจเรา ว่าเราหวังดีกับเค้าจริงๆ เราต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังหวังดีกับเค้า อยากให้เค้าได้รับสิ่งดีๆ รู้จักสิ่งดีๆ เหมือนที่เรารู้ เค้าจะได้มีชีวิตที่ดี ... เค้ารู้สึกอึดอัด เพราะเรายังเปิดใจเค้าไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่เค้าเปิดใจแล้ว เค้าจะขอบคุณที่เราไม่ทิ้งเค้าวันนั้น...
ผมตั้งคำถามอีกครั้ง แต่คราวนี้กับตัวเอง... ว่า คิดแบบนี้ ... ถูกแล้วจริงๆหรือ? ...
เวลาที่เราแนะนำสินค้า แนะนำธุรกิจ ... ผมลองถามตัวเองดูแบบตรงไปตรงมา...
... เราอยากให้เค้ามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างบริสุทธิ์ใจ ... หรือจริงๆ แล้วเราแค่ต้องการผลประโยชน์ ...
... ผมตอบไม่ได้ ...
อาจจะทั้งสองอย่าง แต่ถ้าเราก็ต้องการผลประโยชน์จากความร่วมมือของเขา เราจะเรียกว่าเรา "บริสุทธิ์ใจ" ได้ไหม ???
ย้อนกลับไปคิดถึงคำสอนของพี่หลายๆ คนก่อนที่จะก้าวขึ้นไปถึงระดับเพชร เค้าบอกว่าเค้าติดอยู่กับความคิดความสงสัยของตัวเองนานเป็นปี พอแก้ความคิดของตัวเองได้เท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็ดูง่ายไปหมด และเค้าก็ประสบความสำเร็จในเวลาไม่นานจากนั้น
... ผมบอกตัวเองว่า ผมทำไม่ได้ ... ถ้าปัญหามันอยู่ที่ความคิด ก็คงเป็นที่ความคิดของผมนี่แหละ ความหวังดีอย่างจริงใจกับความคาดหวังในผลตอบแทนมันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ... และผมก็ไม่ใช่คนที่บอกได้เต็มปากว่าผมหวังดีกับเขา ในขณะที่ใจเราคิดถึงยอด คิดถึงแผน และคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะ break event ในเดือนนี้
ต่อมา... ผมเริ่มพูดคุยกับคนในเซ็นเตอร์มากขึ้น มีทั้งหมอ วิศวกร นักธุรกิจ ครู สถาปนิก เภสัชกร ฯลฯ ทุกคนที่ผมคุยด้วย พูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ดีที่สุดแล้ว ... หมอหลายคนบอกว่า กำลังรอธุรกิจเติบโต แล้วอาจจะออกมาทำเต็มตัว ...
... หลายคนที่ล้อมวงฟังกันอยู่ปรบมือ หมอยิ้มขอบคุณ ... แต่ผมรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
... ในใจผมเศร้า ที่หมอที่เคยมีอุดมการณ์ ตอนนี้กลับบ่นวิชาชีพว่าให้อะไรตัวเองได้ไม่เท่ากับ MLM ... และเรากำลังจะเสียแพทย์ไปคนนึง...
ผมทำงานติว และแนะแนวน้องๆ ม.ปลายมาตั้งแต่ผมอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง สิ่งหนึ่งที่ผมบอกน้องๆ ทุกคนมาเสมอ คือ ทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง แต่ละอาชีพก็มีคุณค่าในตัวเอง พี่อยากให้น้องทุกคนหาตัวเอง หาความฝันของตัวเองให้เจอ แล้วทำตามความฝันนั้นอย่างเต็มที่ อย่างไม่ลังเล...
... แต่ถ้าสุดท้ายของความฝัน มันคือการมาทำธุรกิจเครือข่ายกันหมด ... มันต่างกับสิ่งที่ผมเชื่อโดยสิ้นเชิง ... ผมรู้สึกเศร้าแบบช่วยอะไรไม่ได้...
แน่นอนว่าเราสามารถทำธุรกิจเครือข่ายเป็นงานพาร์ทไทม์ควบคู่กับงานประจำได้ แต่สิ่งที่ทุกคนพูดและเชื่อ คือความดี ประโยชน์ ความเทพของ MLM ซึ่งจะต้องปรับต้องเชื่อกันตั้งแต่ทัศนคติ ความเชื่อ ไปจนถึงวิธีใช้ชีวิต...
จะมีสักกี่คน ที่แน่วแน่และบอกว่า ... เราจะทำควบคู่กันไป เพราะชั้นก็รักอาชีพที่ชั้นทำ...
มันเหมือนกับเวลาที่เรามีแฟน แล้วเราแบ่งเวลาให้กิ๊กอีกคนนึง ที่เราบอกว่า กิ๊กคนนี้ให้เราได้มากกว่าแฟนเราทุกอย่าง แต่เราก็จะแบ่งเวลาให้ดี เพราะเราก็ยังรักแฟนเรา? มันทำได้จริงๆเหรอ? ... ผมว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงจะไม่เลิกกับแฟน แต่ความรัก ความทุ่มเท และความรู้สึกที่เคยมีให้แฟนมันก็ต้อง "ลดลง" ... ดีไม่ดีก็ลดจนหมดหดหายเลิกกันไปเลย
... เหมือนหมอคนนั้น ที่รอวันเลิกกับวิชาชีพแพทย์ มาทำธุรกิจเครือข่ายเต็มตัว ...
... เสียงปรบมือรอบวงยังก้องอยู่ในหูผม ... ย้ำเตือนให้ผมตระหนักว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ...
ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีอะไรอีกบ้างที่ผมค้นพบในเซ็นเตอร์ช่วงนั้น ... แต่ที่จำได้แม่นอีกอย่างหนึ่งก็คือ คำสอนที่เราควรจะคิด เวลาเราไปสปอนเซอร์
เค้าสอนว่า... อย่าเหนื่อย อย่าท้อ อย่าคิดลบ ... เราสปอนเซอร์ไป 10 คนอาจจะได้ 1 คนที่เปิดใจ เป็นกำลังสำคัญของเราก็ได้ ... ทำงานไปเรื่อยๆ ถ้าเศร้า ถ้าท้อ เราจะ เสียโอกาส ...
... ผมถามตัวเองขึ้นมาว่า ... แล้วอีก 9 คน ใครจะรับรองว่าเค้าจะไม่หายไปจากชีวิตของเราตลอดไป? จากประสบการณ์ที่สปอนเซอร์ญาติๆ เพื่อนๆ น้องๆ รอบตัวมา... ไม่ใช่ทุกคนที่เปิดใจกว้าง ทุกคนมีความคิดต่างกัน แต่เราก็ควรจะอยู่กันได้อย่างมีความสุข
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่สำหรับผม ต่อให้ผมสปอนเซอร์สิบคน เก้าคนเปิดใจ แต่คนสุดท้ายจะมองผมด้วยสายตาที่แปลกและเปลี่ยนไปตลอดชีวิต ... ผมมองว่ามันไม่คุ้ม มันเป็นสิ่งที่ทดแทนด้วยตัวเงินไม่ได้ ... ต่อให้ผมประสบความสำเร็จมากมาย แต่ถ้าผมต้องทิ้งความสัมพันธ์ดีๆ กับเพื่อนจำนวนหนึ่งไป ... สำหรับผม ผมไม่รู้ว่าคุ้มหรือเปล่า แต่บอกได้ว่าผมคงรู้สึกขาดความนับถือตัวเองในที่สุด
... คุ้มไม่คุ้มไม่รู้ ... แต่ที่รู้คือ ... ผมไม่เอาด้วย ...
... ผมไม่ได้ถามออกไป เพราะรู้ว่าคำตอบที่จะได้รับคือ เราไม่มีทางที่จะเสียเพื่อนเค้าไปหรอก วันหนึ่งเค้าก็ต้องเข้าใจ และเปิดใจให้เรา เพราะสิ่งที่เราเสนอให้เค้าเป็นสิ่งดีๆ ที่เราปรารถนาดีกับเขาอย่างจริงใจ ... วันนี้เค้าแค่ไม่เข้าใจเราเท่านั้นเอง ... คำตอบแพทเทิร์นนี้วิ่งผ่านสมองผมอย่างอัตโนมัติ ทำให้ผมรู้สึกว่าเราเหมือนมองเหรียญกันคนละด้าน คุยกันยังไงก็คงไม่รู้เรื่อง
ผมเขียนไว้ตั้งแต่ตอนเปิดเรื่องว่า เหรียญมีสองด้าน ... แต่ถ้าจะทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ ต้องมองแต่ด้านหัวเท่านั้น...
... และผมทำใจมองด้านเดียวไม่ได้ ... นอกจากจะต้องหลอกตัวเองว่า มันไม่มีด้านก้อย...
การตัดสินใจอะไรสักอย่าง ผมเชื่อว่ามันควรอยู่บนการไตร่ตรองว่าเราจะไม่เสียใจภายหลัง ไม่ว่าด้านบวกหรือลบของมันจะเป็นยังไง เราก็ต้องยอมรับมัน ... และการตัดสินใจโดยที่มองอยู่ด้านเดียว มันไม่น่าจะใช่สิ่งที่ควรทำ ... อย่างน้อยก็ในแบบวิธีการดำเนินชีวิตของผม
สำหรับคนที่ชั่งใจแล้วว่าเค้าจัดการกับทางบวกและลบได้ ...จนประสบความสำเร็จ ผมยินดีกับเขาด้วย ...
... แต่วันนั้น ผมเริ่มรู้สึกว่า ... ที่นี่ไม่ใช่ที่ของผมอีกต่อไป...
ตอนที่ 10 :: Farewell
ถึงผมจะเริ่มชัดเจนว่า MLM มันไม่ใช่ที่ๆผมควรจะอยู่ ... แต่ผมก็ยังเป็นคนธรรมดาที่เพิ่งผ่านการโดนป้อนความเชื่อและทัศนคติกับ MLM มามากมาย ... ถึงจะเริ่มเห็นภาพรวมชัดเจน แต่มันก็มีอีกใจที่ยังรู้สึกลังเล ยังเสียดายว่า เราลงทุนไปแล้ว เราเดินทางมาแล้ว เราจะล้มเลิกเสียตอนนี้ มันจะใช่ไหม...
คนล้มเหลวไม่มี มีแต่คนที่เลิกกลางทาง ... นี่เป็นคำพูดที่ผมได้ยินจนคุ้นหู ... และผมกำลังจะเป็นหนึ่งในนั้น
ถามว่ายังมีความอยากได้ในสิ่งที่ฝันมั้ย... ยังอยากครับ แต่พอคิดกลับไปกลับมาหลายตลบแล้ว ผมว่า มันก็ยังมีทางอื่นอีกมากมายที่จะสร้างอนาคตของตัวเองได้...
เงินไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ต้องอาศัยเงิน
แต่ถ้าได้เงินมาแล้วต้องเสียสิ่งที่มีค่าอย่างอื่นไป ... สำหรับผม... ผมเลือกไปหาเงินจากทางอื่นดีกว่า
และผมหยิ่งในตัวเองมากเกินกว่าที่จะบอกว่า ถ้าผมไม่ทำ MLM แล้ว ผมจะหาอิสระทางการเงินจากทางอื่นไม่ได้ ...
ในเมื่อนี่ไม่ใช่ทางที่ผมอยากเดิน ผมก็จะสร้างทางเดินของตัวเองขึ้นมา... นี่คือคำตอบที่ได้จากการนั่งทบทวนคุยกับตัวเองหลายต่อหลายคืน
สิ่งสุดท้ายที่ยังรั้งผมไว้ คือเพื่อนๆ พี่ๆ ในเซ็นเตอร์ ... จะยังไงผมก็ยังรู้สึกดีกับการเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น...
...และนั่นทำให้ผมยังไม่เลิกไปเซ็นเตอร์ ...
และไปเซ็นเตอร์ที ความคิดของผมก็อ่อนแรงลงทีหนึ่ง บางครั้งเวลาที่ร่างกายล้า อะไรที่เราฟังมามันก็ดูเหมือนจะเชื่อไว้ก่อนซะหมด
กิจกรรมหลายๆอย่างที่นั่นสร้างความรู้สึกผูกพันกับเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนในนั้น... จนบางทีผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าไม่รู้จะทำยังไงต่อ
ถึงผมจะรู้สึกว่าธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่ทางของผมแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกดีกับการเป็นส่วนหนึ่งของเค้า จนไม่รู้จะปฏิเสธตัวเองออกมายังไง ...
... อีกครั้งที่ผมรู้สึกโชคดี ...
ทุกครั้งที่ผมรู้สึกหลงทาง ... ผมมักจะได้อะไรดีๆ เตือนสติผมเสมอ ... วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเปิดตู้หนังสือแล้วหยิบหนังสือเล่มโปรดของผมขึ้นมานั่งอ่าน ... ผมอาจจะแค่เหนื่อยเกินไปเลยอยากพักใจจากเรื่องรอบตัวก็ได้...
หนังสือเล่มนั้นคือ The Neverending Story ... หนังสือที่ผมอ่านสามครั้งในสามช่วงอายุ ให้เนื้อหาสำหรับผมที่แตกต่างกันไป ... และครั้งนี้ก็เช่นกัน
ไม่ขอเล่าเรื่องในหนังสือนะครับ... เดี๋ยวมันจะยาวเกิ๊น ^^' แต่ครั้งนี้สิ่งที่ผมได้รับมาคือ... ถึงผมจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเขา ... แต่พวกเขาไม่ได้มองผมเป็นตัวผมเองหรอก ... พวกเขามองผมเป็นคนอีกคนหนึ่ง ที่ทำงานร่วมกัน ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน และช่วยเหลือกัน...
... ถึงผมจะหายไป ก็ไม่ได้แปลว่าผมหายไป ... แค่อีกคนหนึ่งหายไป เท่านั้นเอง ...
นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ... มันเจ็บแปล๊บๆ เพราะผมไม่ได้มองพวกเค้าทุกคนในแนวทางนี้ สำหรับผม แต่ละคนมีความแตกต่างในตัวเอง และจริงๆ แล้วก็อยากจะเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกันต่อไป ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจเครือข่ายด้วยกันหรือไม่...
... แต่ก็มีอยู่ทางเดียวที่จะทดสอบได้ว่า ผมคิดถูกไหม... คือผมต้องเฟดตัวออกมา
ผมค่อยๆถอย ไม่ไปเซ็นเตอร์ ไม่ไปประชุม ... มีคนตามผมบ้าง แต่หลักๆ คืออัพไลน์ในสายงานของผม ...
... และเมื่อผมโผล่ไป ก็ไม่ได้มีใครถามหรือสนใจว่าผมหายไปไหน หรือมีเรื่องไม่สบายใจอะไร ทุกคนมองไปข้างหน้า ทุกคนจับตาที่เป้าหมาย ...
หน้าที่ดึงผมไว้ยังเป็นของสองสามคนในไลน์ .. ยังคงโทรมาตามให้ไปเซ็นเตอร์อย่างสม่ำเสมอ ... จนบางทีผมก็ไม่แน่ใจว่าเค้าทำเพราะต้องการให้ผมสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง หรือเพื่อสายงานที่แข็งแรงขึ้นของเขา... แต่ไม่ว่ายังไง การพูดคุยทางโทรศัพท์แต่ละครั้งก็ไม่ได้มากไปกว่าเนื้อหาการตามไปร่วมกิจกรรม
เวลาทุกนาทีของนักธุรกิจเครือข่ายมีค่า ...
... และผมก็รู้สึกว่าผมไม่ได้เดินช้าๆ สูดลมหายใจลึกๆ ดูต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทางมานานแล้ว ...
นี่ควรจะเป็นเวลาบอกลาของผมสักที...
วิธีบอกลาที่ดีที่สุดสำหรับนักธุรกิจเครือข่ายคือ... หายไปเงียบๆ ผมรู้ดีว่าถ้าผมพยายามเล่าสิ่งที่ผมคิดเป็นหน้าๆ อย่างที่พิมพ์มาในกระทู้นี้ พวกเขาก็ต้องพยายามยื้อผมไว้ ... แต่มันไม่มีความหมายที่จะถกเถียงกัน ในเมื่อเราต่างฝ่ายต่างมองคนละมุม
เขามีชีวิตของเขา... และตอนนี้ผมก็มีชีวิตของผม ...
อัพไลน์ยังคงโทรมาตามไปเซ็นเตอร์ ... ผมเริ่มปฏิเสธเขา ประจวบกับทาง บริษัทมีแผนส่งทีมไปเรียนรู้งานที่ต่างประเทศเป็นเวลาครึ่งปี ... ผมบอกพี่ๆ ว่าผมจะไม่อยู่ไทย ครึ่งปี... ทุกคนรับรู้ และไม่มีใครติดต่อมาหาผมอีก...
... นั่นเป็นการปิดฉากการทำธุรกิจเครือข่ายของผม .. ผมเลิกใช้สินค้าตัวที่คิดว่าไม่จำเป็น... ยกเว้นเครื่องฟอกอากาศราคาแพงลิบที่ตั้งอยู่ในห้องนอน ... ^^'
ผมใช้เวลาที่เหลืออยู่เล็กน้อย ติดต่อไปหาเพื่อนๆ ทุกคนที่เคยสปอนเซอร์หรือสร้างความอึดอัดให้ ... พูดคุยเฮฮา เลี้ยงข้าวและขอโทษที่เคยทำให้อึดอัด ... บางคนระแวงไม่ยอมคุยด้วยจนผมยืนยันว่าผมเลิกแล้ว ^^'
หลังจากผมหายไปต่างประเทศครึ่งปี ... ผมก็ขาดการติดต่อจากทุกคนในเซ็นเตอร์อย่างสิ้นเชิง ... อย่างน้อยผมก็คิดถูก...
จากวันนั้นถึงวันนี้ มีคนมาชวนผมทำธุรกิจเครือข่ายอีกหลายครั้ง ทั้งไปฟังแผนและไม่ฟัง แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะกลับไปทำอีก
ย้ำอีกครั้งครับ ... ผมไม่คิดว่าธุรกิจเครือข่ายคือสิ่งที่ไม่ดี โดยมากแล้วระบบวางไว้ดีมากด้วยซ้ำ แต่ในทางปฏิบัติแล้วเป็นเรื่องยากมากที่จะทำได้ด้วยบริสุทธิ์ใจและปราศจากความโลภ ...
บางคนทำได้ และประสบความสำเร็จ ... ผมยินดีกับเขาด้วยใจจริง
บางคนทำไม่ได้ ... ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถ ... บางครั้งเขาเจอคนไม่ดี หรือแค่เดินทางในธุรกิจนี้ผิดทาง
บางคนเลือกที่จะไม่ทำ ... อย่างเช่นผม เพราะวิเคราะห์แล้วถึงแง่มุมต่างๆ
ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง ที่จะเลือกทางเดินของชีวิต ไม่มีทางไหนผิดหรือถูก ... และเราควรที่จะเคารพในทางเดินของแต่ละคนใช่ไหม ไม่ว่าเราจะใส่สูทผูกไท หรือใส่ขาสั้นปั่นจักรยาน เราก็มีสิทธิที่จะยิ้มให้กับชีวิตที่เราเลือกเท่าเทียมกัน ...
*********************************************************************************
ในความคิดเห็นของ ถึกธนูทองนั้น การค้นหาอิสระภาพทางการเงินไม่ได้เป็นเฉพาะเด็กในเจนวาย คนทุกรุ่นก็คิดกันทุกคน เมื่อเรามีความคิดดังกล่าวแล้วอีกไม่นาน MLM ก็จะเข้ามามีบทบาทเพราะเป็นเจ้าของธุรกิจโดยใช้เงินไม่มาก ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ และ ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆมากมาย... แต่ส่วนมากแล้วจะจบไม่สวย เพราะเราทำเพราะความโลภ ไม่ได้มาจากความชอบ...
บางคนพ่อแม่ร่ำรวย ให้ทุนลูกทำกิจการทั้งๆที่ยังไม่พร้อม ก็ต้องน้ำตาตกในเหมือนน้องในบทความครับ...
ในส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะหนี้ให้พ้นคำว่าลูกจ้าง ต้องเริ่มจากการค้นหาสิ่งที่ตัวเองถนัด ชอบ ให้เจอเพราะถ้าทำธุรกิจที่เราชอบแล้วจะไม่มีใครหลอกเราได้ แย่สุดก็แค่เจ๊า เพราะการทำสิ่งที่ชอบ เราจะไม่ท้อ อย่างแย่ที่สุด กำไรของงานก็คือหัวใจของเราเอง อีกอย่างที่ต้องควบคู่ไปด้วยกันคือมีโค๊ชที่ดี ซึ่งทำงานอยู่ในวงการธุรกิจเดียวกันครับ
ถึก ธนูทอง